เทศน์เช้า

การฟังสื่อทางธรรม

๒๔ ก.ค. ๒๕๔๒

 

การฟังสื่อทางธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เพราะมันเป็นนิทานพื้นบ้าน อย่างในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเวลาเทศน์ตามวัด เห็นไหม เทศน์เรื่องชาดก แล้วพูดกันว่าศาสนานี่ไม่ค่อยคุณค่าเลย เราบวชครั้งแรกเลยไปอ่านวินัยมุขเข้านะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้หรือ? สอนอย่างนี้หรือ? บวชมหานิกายนะ สอนแต่เรื่องสภาวะอย่างนั้น ไม่มีใครเอามาพูดกันไง แต่เวลาเทศน์นี่เทศน์เป็นประเพณี ของอยู่ด้วยกันแต่ไม่เหมือนกัน

จิตวิญญาณมีจริงไหม? มี มีจริงไหม? ต้องมีสิ ถ้าไม่มี นรก สวรรค์ไม่มี แล้วคนนี่เกิดเอาอะไรมาเกิด? กลละ ไข่ของแม่ใช่ไหม? กลละของพ่อทำปฏิกิริยากัน แล้วต้องมีจิตปฏิสนธิ ที่ว่าการเกิด ๔ อย่างในพระไตรปิฎก เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดจากโอปปาติกะ เกิดในของเน่า การเกิด ๔ อย่าง ทั้งหมดเลยเกิด ๔ อย่างนี้ อย่างพวกเทวดา พวกอะไรนี่เกิดจากโอปปาติกะ เกิดแล้วโตเลย เกิดแล้วโตเลย จิตมันหมุนไป

นี่ถ้าจิตมันหมุนไป ตามความเป็นจริงจิตที่หมุนไป จิตนี่มันเป็นสิ่งที่คงที่อยู่ แต่คงที่ในสภาพอนัตตา งงไหม? คือว่ามันแปรสภาพตลอดเวลา มันไปอยู่ แต่มันมีสสารตัวที่มันเป็นนั้นอยู่ แต่สสารตัวนี้มันก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา ทุกข์ตลอดเวลา ถึงว่าอันนี้มันมีอยู่ มีอยู่ในตัว มีอยู่ แต่มีอยู่แบบทุกข์ไง มีอยู่แบบที่ควบคุมไม่ได้ไง ถึงว่ามีอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นมาเข้ากับนรก สวรรค์มีจริง แล้วมันไปตลอด มันไปตลอด ถึงว่าเราไปหรือ? ถ้าเราไปก็ไม่ใช่ เพราะเราไปขณะปัจจุบันนี้ นี่ถ้าเราไปเลย สิ่งนั้นมันก็ไปเลย สิ่งนั้นมันเคลื่อนไปเป็นธรรมดา

แต่นี้เวลามันมาเสวยภพ คำว่าเสวยภพ คือว่าเราเป็นมนุษย์ เป็นอะไรมันอยู่ชั่วตรงนั้นไง แต่สิ่งที่ว่ามันมีมาด้วย ทีนี้เขาเถียงกันว่าเวลาไปเกิดแล้วไม่ใช่คนเก่า เหมือนกับต้นกล้วย ต้นกล้วยหน่อที่แทงใหม่ขึ้นมาไม่ใช่หน่อเดิม เราไปเกิดใหม่ก็เป็นคนใหม่ไม่ใช่คนนี้ ไม่ใช่คนนี้ แต่เชื้อไข เชื้อมัน กรรมที่สะสมไปจากใจ กรรมที่สะสมไปนี่ให้ผลไป แล้วกรรมที่ยังไม่ให้ผลมันก็ซุกอยู่ในหัวใจเรา มันซุกอยู่ในหัวใจเรา นี่มันสะสมมา ถึงว่านี่เป็นอวิชชาที่ว่า อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง วิญญาณตัวนั้นสะสมมา ไอ้ที่ว่าบุญกุศลมันสะสมไป มันถึงจะให้ผล ถึงจะแสดงออกมาเป็นจริต เป็นนิสัยของคนไม่เหมือนกัน

จริตนิสัยเกิดมาจากตรงนั้นไง จริตนิสัย สันดาน เห็นไหม คำว่าสันดานมันสะสมมา สันดาน สัญชาตญาณของใจ สัญชาตญาณ นี่สันดานอยู่ตรงนั้น ไปแก้สันดาน แก้สันดาน พระพุทธเจ้าแก้ได้ แต่ถ้าเป็นพระที่ปฏิบัติตามมันแก้กิเลสได้ แต่สันดานตัวนั้นมันแค่สะอาด มันพลิกไม่ได้ แม้แต่พระสารีบุตรลงมา นี่มันสะสมมาๆ จนเป็นความเคยชิน เป็นจริตนิสัย ถึงว่าพอมาปฏิบัติ มาเกิดนี่ถึงว่าเวลาอธิบายตรงนี้ไงมันถึงสับสน สับสนว่าถ้าเกิดเป็นผี เป็นผีมันมีอยู่ แล้วเวลาที่เขาทำกันอยู่นี้เป็นผีไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ศาสนาสอนเรื่องอะไร? พระสอนเรื่องพิธีกรรมหรือ? พระต้องทำอย่างนั้นถึงเป็นพิธีกรรม พิธีกรรมนี้มันเป็นพิธีกรรม มันเหมือนวินัยกรรม วินัยกรรมกฎหมายบังคับหมด ดอกไม้จะสวยงามก็ต้องมีเชือกร้อยเป็นพวงมาลัย นี่สังคม ประเพณีวัฒนธรรมเป็นขนาดนั้น ทีนี้ก็ชักเข้ามาที่ปฏิบัติ เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์นะ

“ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม”

พระอานนท์ก็สงสัยอยู่ว่ามันจะหมดเขต หมดแกน หรือว่าจะสอนกันถึงตอนไหน? ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม พระอรหันต์ไม่สิ้นจากโลกนี้เลย แต่ต่อไปมันจะมีผู้ปฏิบัติแต่ไม่สมควรแก่ธรรมไง ผู้ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม มันก็ไม่เข้าถึงจุดตรงนั้น เห็นไหม ทีนี้พอเราปฏิบัติกัน ทุกคนถึงว่าปฏิบัติไง มรรคผลมีอยู่แน่นอน ถ้าปฏิบัติสมควรแก่ธรรม แต่นี่ปฏิบัติแล้วมันไม่สมควรแก่ธรรม เพราะ เพราะเอาโลกเป็นใหญ่ไง เอาโลกเป็นใหญ่ เอาระบบเป็นใหญ่ เอาการที่ว่าเป็นโครงการเป็นใหญ่

ถ้าเป็นโครงการแล้วเป็นโลกทั้งหมดเลย เป็นโลกแล้วเราเดินตามสเต็ป สเต็ปนี้ก็เป็นโลกทั้งหมดเลย แต่ถ้าเป็นปัจจุบันธรรม เห็นไหม ปัจจุบันมันเกิดขึ้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา ถึงว่าพูดบอกให้เป็นสุตมยปัญญาไม่ได้ จินตมยปัญญา นี่บอกได้เลยว่าสุตมยปัญญานี้ขอบเขตขนาดนี้ การศึกษา การฟัง การศึกษานี่สุตมยปัญญา

จินตมยปัญญา นักวิทยาศาสตร์ เห็นไหม จินตมยปัญญาขึ้นได้ แต่ขนาดจินตมยปัญญา นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้น แต่ภาวนามยปัญญายังละเอียดกว่านั้นเข้าไปอีก เพราะภาวนามยปัญญาเราคิดค้นไม่ได้ เราคิดค้นได้ นี่เรา ผู้อื่นเขาทดลองวิทยาศาสตร์มาก่อน แล้วเราเป็นทฤษฎีมา หรือว่าเป็นข้อมูลมา เราเอาข้อมูลนั้นมาเป็นบรรทัดฐาน แล้วเราคิดค้นต่อไปได้ นี่มันทำกันได้ แต่ภาวนามยปัญญาอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ได้เพราะว่าอย่างเช่นสอนพระสารีบุตรอย่างหนึ่ง สอนพระโมคคัลลานะอย่างหนึ่ง เราจะอย่างนั้นมาเป็นสูตรสำเร็จของเราไม่ได้ ไม่ได้เพราะนิสัย จริตไม่เหมือนกัน คือว่าเชื้อต่างกันไง เชื้อของโรคต่างกัน ยาที่เป็นปัจจุบันเข้าไปรักษาโรคต้องเป็นยาปัจจุบันนั้นไง

โรคกิเลส นี่โรคกิเลสเหมือนกัน อริยสัจ ๔ เหมือนกัน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเหมือนกัน แต่เชื้อที่รับมา การสะสมมาแต่ละภพแต่ละชาติ การสร้างบุญกุศลมา เห็นไหม คนทำความดีความไม่ดีมาน้ำหนักต่างกัน เชื้ออันนี้ถึงได้ต่างกัน พอเชื้อต่างกันต้องเชื้อปัจจุบันนั้น เวลาเราคิดขึ้นมา เราภาวนาขึ้นมาเป็นจินตมยปัญญาไปก่อน หมุนไปก่อน นี่มรรคมันเคลื่อนไป มรรคหยาบๆ แล้วก็มรรคละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปจนมันเป็นตัวมันเอง เป็นตัวมันเอง เป็นภาวนามยปัญญา

นี่เพราะมันเกิดจากอะไร? เกิดจากวัคซีน วัคซีนเขาเอาเชื้อนั้นไปทำให้ไม่เป็นโทษ ไอ้กิเลสที่มันเกิดที่ว่าเป็นกิเลสของเรา เราศึกษาอยู่ กิเลสของเรา มันก็เชื้อตรงกับกิเลสของเรา แล้วภาวนาเข้าไป จากเชื้อโรค ภาวนามยปัญญาดัดแปลงไง ดัดแปลงความคิดของเรา ดัดแปลงสิ่งที่มันขับออกมาจากกิเลสให้กลับเข้าไปทำลายตัวมันเอง ธรรมอันนี้ถึงว่าประเสริฐที่สุด

นี่ถึงว่า “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม”

ถึงเป็นโครงการไม่ได้ ถ้าเป็นโครงการนะ เป็นสเต็ปที่เขาทำมาอย่างนั้นน่ะมันหลอก เราทำให้เสร็จโครงการ เห็นไหม ไอ้อย่างนี้มันก๊อบปี้ได้ ของที่เป็นทางโลก ที่ว่าเป็นปัญญาที่เขาเลียนแบบกัน ทำไมเขาทำได้ล่ะ? เขาเลียนแบบได้ดีกว่าของเดิมด้วย แต่ภาวนาเลียนแบบไปนะ วางฟอร์มได้แค่เปลือก แต่จริงๆ แล้วมันชำระกิเลสไม่ได้ ชำระกิเลสไม่ได้มันก็ชำระทุกข์ไม่ได้ ชำระทุกข์ไม่ได้มันก็สุมไว้ที่หัวใจไง

ใหม่ๆ มันตะล่อมได้ไง มันควบคุมได้ ควบคุมได้ด้วยสมาธิธรรม ควบคุมให้ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปเฉยๆ แล้วมันซุกอยู่ใต้พรม แต่ถ้ามันตีกลับออกมามันเศร้าหมองนะ มันเศร้าหมอง มันเฉา เฉาอยู่ในใจนี่แหละ ในใจของเรา เพราะเชื้ออันนี้ไม่ได้ทำลาย ดูสิเราเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเชื้อไม่ได้ทำลายออกไป มันยังไม่หาย เวลามันออกมามันทำให้ความเจ็บปวดแสบร้อนเรามี แต่นี้ในหัวใจ ถึงว่าถ้าปฏิบัติแล้ว เห็นไหม ถึงว่าการปฏิบัติสื่อไม่รู้ สื่อไม่เข้าใจกัน ถึงว่าเป็นการปฏิบัติอยู่ แต่ผลมันไม่ออกมา ไม่ออกมาตรงที่ว่าในขณะที่ว่ามันเป็นผล

นี่ทำไมพระพุทธเจ้านะ มีพระอรหันต์ แต่เดิมในสมัยพุทธกาลเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ จะไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าอันนี้เป็นไม่เป็นไหม? พระพุทธเจ้ารู้อยู่แล้วบอกว่าไม่ต้องมาหรอก ให้เฉียดเข้าไปที่ป่าช้านั่นก่อน ให้เดินไปที่ป่าช้านั่นไง ให้ไปดูป่าช้าก่อนแล้วค่อยมาหาพระพุทธเจ้าไง พอเฉียดเข้าไปป่าช้า ไปเจอศพตายใหม่ๆ เข้าอารมณ์มันเกิดขึ้น อันนี้มันไม่ใช่ แต่เข้าใจว่าใช่ พระพุทธเจ้ารู้ทันนะให้ไปที่ป่าช้าก่อน นี่ไปที่ป่าช้าก่อน ถ้าไปกระทบเข้า ไปเห็นสิ่งนั้นเข้า ทั้งๆ ที่ว่าเป็นพระอรหันต์ เข้าใจว่าเป็น เข้าใจว่า

การเข้าใจว่า คือเราปฏิบัติขึ้นไปเป็นสเต็ปไง จากตรง ๑ ต้องก้าวเป็น ๒ ก้าวเป็น ๓ ก้าวเป็น ๔ ไป ก้าวไปนี่มันน้อมนึกได้ ดูอย่างของของเขาสิ เงินในธนาคารไม่ใช่ของเรา เราไปดูเรายังว่าโอ้โฮ เงินมากมายไปหมดเลย เงินมากมายไปหมด แต่ไม่ใช่เงินของเรา แต่เราไปเห็นเข้า อ๋อ เงินเป็นแบบนี้

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเป็นสเต็ปใช่ไหม? วางไว้เป็นสเต็ป ต้องเป็นแบบนั้นๆ เราก็เดินตามนั้นไป เรานึกได้ เราทำได้ ทำได้แล้วยังมีความภูมิใจด้วย พอมีความภูมิใจ มีความสุขใจ เพราะว่าใจนี้มันได้เข้าไปหมุนวงรอบหนึ่ง ทีนี้อาการของวัตถุ ถ้ามันเข้าไปเสียดสีมันจะทำลายกัน ในช่องที่แคบอยู่วัตถุที่ใหญ่มันจะเข้าไปไม่ได้ มันต้องย่อยสลายมันถึงเข้าได้ นี่วัตถุ ตัวที่เป็นวัตถุมันบังคับตัวมันเอง แต่นามธรรมในความคิด จินตนาการขนาดไหนก็ได้ คิดขนาดไหนก็ได้

ความคิด เห็นไหม แล้วมันเป็นใจคิดอยู่แล้ว ปรุงขึ้นมาอยู่แล้ว แล้วได้ผ่านความสงบขึ้นมาบ้าง มันปรุงได้เกินด้วยนะ ทำไมมันมีอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค คิดเลยขึ้นไป พิจารณา เวลาพิจารณาอสุภะ พิจารณาอาหาร พิจารณาจนเป็นตัวหนอน กินไม่ได้เลยนี่ มันเกินไป มันข้ามไปเป็นอัตตกิลมถานุโยค พอกิเลสมันบังเงา มันบังเรา บังว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น เราก็เห็นตามไป เห็นตามไป มองข้ามไป จินตนาการข้ามไป นี่มันเลยไปๆ ไม่ลงมัชฌิมาปฏิปทา ความเป็นจริงของมันที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นเป็นเดี๋ยวนั้นไง การเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น

นี่พูดอย่างนี้ขึ้นมาเพราะว่ามันสลดใจไง สลดใจที่ว่าเข้าใจว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติ เรานะ เราอยากประพฤติปฏิบัติกัน เราเชื่อในธรรม เราเชื่อในธรรมะพระพุทธเจ้า เราอยากจะให้พ้นทุกข์ แต่เวลาเราไปทำเข้าจริงๆ ทำเข้าจริงๆ เห็นไหม ทำเข้าจริงๆ เพราะเราไม่รู้ เราก็ต้องเชื่อคนที่บอก พอเชื่อคนที่บอกไป คนที่บอกนั้นชักไปไหนก็ไม่รู้ ว่าอันนี้เป็นธรรมๆ ถ้าอันนี้เป็นธรรม ก็อย่างที่ว่าต้องไปที่ป่าช้าไง ไปพิสูจน์ว่าจิตมันเกิดขึ้นมา ซากศพที่เน่าเหม็นเราขยะแขยงไหม? เรารังเกียจไหม? ซากศพที่ว่าเพิ่งตายใหม่ๆ เราจะมีความรู้สึกไปกับเขาไหม?

มันต้องอยู่ที่การพิสูจน์ไง เราต้องพิสูจน์ใจว่าใจนี้เป็นจริงไหม? นั่นการพิสูจน์นะ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติมีครูอาจารย์ที่ชักนำเข้าไป มันจะเป็นตามความเป็นจริงต่อเมื่อขณะจิตที่เป็นไป ฟังก็ฟังออก ฟังก็ฟังรู้ เวลามันขาด มันสมุจเฉทปหานกิเลสขาดออกไปจากใจ กายนี้ไม่ใช่เรา เรานี้ไม่ใช่กาย มันแยกออกจากกัน เห็นขนาดนั้นนะ เหมือนกับแผ่นดินนี้มันแยกออก แผ่นดินแยกออก เห็นไหม เวลาแผ่นดินธรณีมันแยกออกจากกัน เราจะเห็นเลยว่ามันแยกออกจากกัน เห็นชัดๆ อย่างนั้นเลย

แต่นี้ใจเวลามันขาดออกจากกายนะ คือว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ไอ้อุปาทานนี้มันปล่อยหมดเลย กายไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่กาย จิตนี้ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์นี้ไม่ใช่จิต จิตนี้เวิ้งว้าง ว่างขนาดนั้น เพราะว่าอยู่ในขณะที่มันขาดใหม่ พอมันขาดใหม่มันปล่อยวางไปตามความเป็นจริง ปล่อยวางตามความเป็นจริง จิตนี้มันจะหลุดออกไปเป็นส่วนเอกเทศของมันเลย เห็นไหม นี้จิตเป็นนามธรรม เหมือนสายน้ำเราตัด ตัดสายน้ำขาดแล้วสายน้ำก็มาบรรจบกันใหม่ ไอ้ขันธ์ที่มันขาดออกไป มันขาดออกไปเพื่อให้สังโยชน์ที่มันผูกอยู่ร่วมกันขาดหลุดออกไป แล้วสัญญาเดิม ขันธ์กับจิตมันก็รวมกันเหมือนเก่า แต่กิเลสขาดออกไปตามความเป็นจริง สังโยชน์ขาดออกไปเห็นๆ

มันเห็นตามความเป็นจริงขนาดนี้ มันถึงว่าเป็นปัจจัตตังไง ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน แล้วไม่หวั่นไหวในใดๆ ทั้งสิ้น ใครจะให้ค่าไม่ให้ค่านั้นมันเรื่องข้างนอก มันเรื่องของจินตมยปัญญา เรื่องของสุตมยปัญญา เรื่องของภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากฐีติจิต เกิดขึ้นจากกลางหัวใจ กลางทุกข์ของเรา มันชำระออกไปอย่างนั้นตามความเป็นจริงไง ตามความเป็นจริงที่ธรรมะประสิทธิ์ประสาทให้ สถาปนาขึ้นมา แล้วเป็นอกุปปธรรมที่แน่นอนไปตลอด ไม่มีวันเสื่อมจากตรงนั้น อกุปปธรรม กับที่ทำกันอยู่นี้เป็นกุปปธรรมไง

สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายแปรสภาพทั้งหมด แม้แต่สมาธิธรรม แม้แต่วิปัสสนาที่ยังไม่ถึงอกุปปธรรมก็แปรสภาพทั้งหมด การแปรสภาพนี้มันเป็นธรรมชาติของสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมชาติของการแปรสภาพไง เป็นอนัตตา ตัวธรรมเองก็เป็นอนัตตา ตัวใดๆ ก็เป็นอนัตตา เพราะความคงที่ไม่มี ต้องแปรสภาพทั้งหมด นี้ความแปรสภาพทั้งหมด เราเห็นความแปรสภาพไป เราว่าความแปรสภาพนั้นเป็นผลที่เราเห็นไง เห็นไหม ที่ปฏิบัติไป ที่ว่าตามไปๆ ตามกันไปๆ แล้วเข้าใจว่าเป็นผล แต่มันไม่เป็นผล มันเป็นผลเพราะทำความสงบเข้ามา เป็นผลเพราะว่าเรามีศีลธรรมกันเท่านั้นเอง

แต่มีศีลธรรม กับสมุจเฉทปหานชำระกิเลสตามความเป็นจริงมันคนละเรื่อง มีศีลธรรม คนดี คนดีก็ทำความผิดพลาดได้ คนดี เห็นไหม เขายังทำความผิดพลาดได้เลย ความผิดพลาดเพราะอะไร? เพราะเราควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้ายังควบคุมตัวเองไม่ได้ มันก็ยังทำความผิดพลาดได้ นี่ความผิดพลาดอันนั้นเพราะมันไม่ขาดจริงไง ถ้ามันขาดจริงมันจะผิดพลาดไปได้อย่างไร? เพราะสติมันจะพร้อมตลอด สติจะพร้อมตลอดนะ สติจะเคลื่อนไป เพราะมันขาดออกไปแล้ว สิ่งที่มันต่อเชื่อมกันไม่ได้ ดูอย่างคัตเอาท์สิ ดูสวิตซ์สิ กว่าไฟมันจะเดินได้เราต้องกด ต้องให้ไฟมันวิ่งมา

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเคลื่อนออกไป สติมันจะตามทันไปตลอดเลย สติจะตามทันไปตลอด ความผิดพลาดอันนั้นไม่มี ความผิดพลาดที่ตั้งใจทำ แต่ความผิดพลาดด้วยสัญชาตญาณ อันนี้อีกเรื่องหนึ่ง ความผิดพลาดโดยสัญชาตญาณ อย่างเช่นเดินไปเหยียบหนาม เหยียบอะไร มันไม่มีเจตนา อย่างนี้มันปฏิเสธไม่ได้ ถ้าความผิดพลาดอย่างนั้นมันไม่ใช่ก่อทุกข์ไง

ความผิดพลาด นี่ทั้งมันยังกลับมาสลดสังเวชนะ บอกว่าเห็นไหม โลกเป็นแบบนี้ เรายังเหยียบ ยังตำไป แล้วกิเลสเกิดขึ้นจากใจ อยู่ข้างใน ทำไมจิตมันไม่ตำล่ะ? ไม่ตำกิเลส? มันไม่ตำเพราะมันไม่มี มันว่าง มันเป็นนามธรรม แต่หนามมันมี หนามมันเป็นขวากหนามอยู่บนถนน เศษแก้วนี่ โดนทำลายไปมันก็เป็นเศษเล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เราเหยียบไป แต่เวลาขาดออกไป กิเลสออกไปจากใจเป็นนามธรรม แล้วมันมีความสุข สุขในหัวใจอันนั้น สุขในหัวใจนั้นคือการปฏิบัติไง

นรก สวรรค์มีจริง มรรคผลมีจริง แต่มีจริงต้องทำได้จริง ไม่ใช่มีจริงด้วยการไปคร่อม การไปคร่อมไว้ นี่มันดึงศาสนาให้ต่ำลงมาไง ดึงศาสนาออกมาให้เป็นโลกไง พอเป็นโลกมันเป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปไม่ได้ นี่มันสื่อออกมา เวลาสื่อออกมาแล้วเราจะจับต้องตรงไหน? เราต้องจับต้อง จับต้องที่ว่ามันทำแล้วเกิดประโยชน์กับหัวใจของเราไง หัวใจเราพัฒนาขึ้นมา หัวใจเราพัฒนา นี่ต้องจับต้องตรงนั้น ไม่ใช่จับต้องตรงที่ว่าข้างนอกเป็นอย่างไร? ต้องจับต้องเข้ามานี่

นี่พระพุทธเจ้ายังให้พระเฉียดเข้าไปที่ป่าช้าเลย จับต้องมันจะเกิดหรือไม่เกิด มันจะเห็น มันจะรู้เอง พูดถึงเราประสบเอง เราต้องรู้เอง ไหวหรือไม่ไหว จิตนี้เคลื่อนหรือไม่เคลื่อน เรารู้ตลอด แต่ถ้ามันคุมไว้ มันคุมด้วยอำนาจของสมาธินะ อำนาจของสมาธิครอบไว้เหมือนหินทับหญ้า ถ้าหินทับหญ้าอันนั้นอันหนึ่ง หินทับหญ้า อำนาจของสมาธิใช่ไหม? อำนาจของคนที่ไม่เคยเห็น เราไม่เคยได้วัตถุสิ่งที่มันมีคุณค่าเลย เราได้ขึ้นมาถูกใจเรา เราจะโอ้โฮ เคลิบเคลิ้มไปอยู่พักใหญ่เลย

นี่ก็เหมือนกัน จิตพอเข้าไปสงบ เข้าไปเวิ้งว้าง อันนั้นมันจะเวิ้งว้างไปหมด แต่เวิ้งว้างนั้นมันเวิ้งว้างเพราะว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตา เห็นไหม มันยังแปรสภาพอยู่ ต้องคอยรักษาไว้ แต่คนมันไม่รู้ว่าต้องรักษาไว้ ไม่เข้าใจว่ารักษาไว้คืออะไร รักษาไว้คือพยายามทรงไว้ สติตั้งไว้ไง รักษาไว้ แล้วมันจะแปรสภาพตลอด แปรสภาพตลอดเพราะมันไม่ใช่ความเป็นจริง แต่ที่มันเป็นจริงไม่แปรสภาพเพราะ! เพราะมันไม่มีอะไร มันเป็นเหมือนอวกาศ ในอวกาศมันจะว่างอยู่ตลอดเวลา

อันนี้ก็ไม่มีอะไร พอมันขาดออกไปแล้วถึงเป็นนามธรรม นามธรรมที่ว่าง ถึงเป็นอกุปปธรรมไม่เสื่อมจากนั้น แต่สิ่งที่เจริญขึ้นไปต้องเสริมขึ้นไป อันนี้มันเกิดขึ้นจาก นี่ต้องผ่านจากจินตมยปัญญาขึ้นไป ไม่ใช่มีเรา ส่วนใหญ่จะมีเราเข้าไปตลอด ในการประพฤติปฏิบัติมีเรา เรารู้ เราเห็น เราตลอด เราตลอด เห็นไหม มีผู้ปฏิบัติถามอาจารย์ ว่าพิจารณา พิจารณาไปตลอด พิจารณานามรูป แล้วเอาอะไรพิจารณา? เอาอะไรไปพิจารณา? แต่ถ้าเราพิจารณาอยู่นี่มันเราเป็นโลก

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว นี่ภาวนามยปัญญามันเกิดตรงนั้นไง เกิดที่ว่าขณะที่ว่าไม่ใช่เรา มันเคลื่อนไปโดยธรรมจักร ธรรมตามความเป็นจริง นั่นล่ะถึงว่าที่เห็นจริงต้องเห็นอย่างนั้น เห็นจริงถึงชำระกิเลสได้จริง แต่เห็นด้วยเรา เห็นด้วยระบบ เห็นด้วยการจูงไง เห็นด้วยการเป็นอดีต อนาคต เพราะจิตนี้มันอยู่หลังเรา เรารับรู้ไปแล้ว เรารับรู้ เราปล่อยวางตรงนั้น แต่ไอ้กิเลสมันอยู่หลังเรา เห็นไหม ถึงว่าต้องขุดคุ้ยลงไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม

แล้วเห็นเรา เห็นอารมณ์กับเห็นกายมันต่างกันตรงไหน? ต่าง ต่างที่ขณะที่เห็นเรา เราเห็น เรารู้ เราดับ ไอ้นี่เราเห็นไป นี่เห็นไป แต่ถ้าเห็นกายนะ เห็นกายด้วยมโนภาพ เห็นกายด้วยเราเห็นนี่มันเป็นกายนอก กายนอกเหมือนตานี่กระทบ เราเห็น ตากระทบ เห็นไหม คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่โดนรถชนต่อหน้าเรา เรายังเห็นว่า อ๋อ อันนี้เป็นความเจ็บปวด เรายังสลดสังเวชได้เลย นี่เราเห็น แต่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมโดยความเป็นจริง เห็นจากตาในไง เห็นจากจิตที่ไม่ใช่เรา จิตนี้เห็นเอง เราถึงควบคุมภาพนั้นไว้ไม่ได้

จิตเวลามันมา เห็นไหม ภาพนั้นมาแวบมาเลย แวบมาเมื่อจิตนั้นสงบ จิตนั้นมันไม่ใช่เรา มันควบคุมไม่ได้ มันควบคุมไม่ได้ ฟังสิ แต่มันควบคุมได้ด้วยสติปัญญา ด้วยมรรคไง แต่ไม่ใช่ควบคุมด้วยเราไง ถ้าด้วยเรานี่เราให้ค่า เราให้ค่าแล้วมันไม่เป็นธรรมจักร มันเอียง แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วเราพิจารณาเข้าไป เราน้อมนึกเข้าไป นึกเข้าไปให้มันสงบก่อนนะ จิตนั้นใสๆ ก่อน นี่ถ้าเห็นเรา เห็นกายก็เห็นปลาไง ปลาในน้ำใสๆ นั่นน่ะ ปลานี้มันขึ้นมาโดยที่ว่าจับต้องมันแล้วพิจารณาเข้ามา

นี่ขณะเห็นอย่างนั้น อาการที่เห็นอย่างนั้นจะขนพองสยองเกล้า ขนพองสยองเกล้าเพราะมันสะเทือนกิเลสทั้งหมดไง แต่เราเห็นนี่เราดีใจ เราพอใจ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่เห็นตามความเป็นจริง เห็นเพราะเราพาเห็น มันถึงว่ามันไม่กระทบถึงตัวของจิต ไม่กระทบถึงตัวของกาย พิจารณากายเหมือนกัน ทำไมพิจารณากายคนละอย่างล่ะ? พิจารณาข้างนอก พิจารณากายนอกเห็นความสลดสังเวชเข้ามา เราปล่อยวางเข้ามาเป็นความสงบ ความสงบนี้เป็นความว่าง สัพเพ ธัมมา อนัตตา ต้องเอาอันนี้มาเคลื่อนไหว พิจารณากายซ้ำเข้ามาข้างใน นี่ถึงกายใน

พิจารณากายเหมือนกันแต่มันคนละกาย เห็นก็คนละเห็น ความหมุนไปของปัญญาก็คนละอัน คนละเลย เพราะมันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน มันถึงว่าไม่เป็นสเต็ปตายตัวไง ตายตัวไม่ได้ ตายตัวชำระกิเลสไม่ได้เพราะมันเป็นนามธรรม ตายตัวมันเป็นวัตถุไปเลย ถึงว่าขณะวันนี้พิจารณาแล้วมันปล่อยวาง พรุ่งนี้ใช้ปัญญาอันเก่า ขนาดเราใช้อันเก่ายังไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เราคิดอยู่วันนี้นี่ใช้ได้ พรุ่งนี้คิดอันเก่าเป็นสัญญาแล้ว กิเลสมันยิ้มเลย อ๋อ เมื่อวานเราแพ้อันนี้ วันนี้ไม่มีทาง ไม่มีทาง

ทั้งๆ ที่เกิดขึ้นจากเรา แล้วเราได้ประโยชน์ มันยังใช้ซ้ำไม่ได้ ต้องเป็นปัจจุบันตลอด แต่นี้สร้างขึ้นมาเป็นโครงการเลย แล้วไปเอามา เหมือนกับลูกเรานั่นน่ะ บอกจะให้มันเรียนหนังสือ เราตั้งไว้เลย เด็กมันจะร้องมาก มันต่อต้านมากเลย แต่มันก็ต้องทำไปๆ นี่ก็เหมือนกัน เราไปตั้งโครงการไว้เลย ลูกกับเรา เห็นไหม กิเลสกับเราก็คนละอัน นี่กิเลสมันซุกอยู่ที่ใจ พอตั้งโครงการขึ้นมามันหัวเราะเลย มันไม่ใช่เหมือนลูก ลูกนี่เราบังคับได้ กิเลสมันเป็นเจ้าวัฏจักร มันบังคับเราต่างหาก มันหลอกเราต่างหาก นี่มันก็เลยกลายเป็นว่าคร่อมไปไง คร่อมไป

นี่การสื่อ สื่อถึงการปฏิบัติ ขณะจะเริ่มปฏิบัติเรายังลังเลกันเลยว่ามันจะเป็นจริงไหม? เราจะได้ไหม? นี่มันเสียทั้งโอกาสนะ ความศรัทธาของเราในศาสนา แต่พอเรามาปฏิบัติแล้วเราก็ยังปฏิบัติเข้าไปเป็นแค่ศีลธรรมจริยธรรมเท่านั้นเอง เราไม่ปฏิบัติเข้าไปถึงมรรค ผล นิพพาน แต่เวลาสงสัย สงสัยในมรรค ผล นิพพานนะ ว่ามีอยู่หรือไม่มี? ทำได้หรือไม่ได้? แต่เวลาทำนี่ก็ทำคร่อมๆ คร่อมๆ กันไป แล้วมันเข้าไม่ถึง พอไม่ถึง บทเวลามันเสื่อมมา อนัตตาไง

บทมันเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายที่เสื่อมไป แล้วถึงจะรู้สึกตัวทุกคน แต่รู้สึกตัวขึ้นมาก็เหมือนกับคนเราใช้พลังงานไปเกือบหมดแล้ว ฉะนั้น ถึงว่าต้องอย่าประมาท อย่าว่าอันนี้เป็นผลไง อย่าเชื่อตัวเอง เชื่อตัวเองไม่ได้ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ถึงว่าต้องหาครูหาอาจารย์ หาครูหาอาจารย์เพราะหาตรงนี้ไง หาครูหาอาจารย์เพราะว่านี่ถูกหรือผิด? ผิดหรือถูก? เพราะว่าขนาดสมุจเฉทมันขาดไป คนที่เคยผ่านแล้วถึงจะรู้ คนไม่ผ่านไม่มีสิทธิ์ มันจะสมุจเฉทเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้ง

ครูบาอาจารย์ทุกองค์ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังหลงทางมาก่อน ยังผิดพลาดมาก่อน เพราะเวลามันขาดไปมันมหัศจรรย์จนเราเข้าใจว่าเป็น เราเข้าใจว่ามันขาด แต่เข้าใจว่ามันขาด ทำไมสิ่งที่ว่าเป็นสังโยชน์มันไม่ขาดออกไปจากใจล่ะ? กิเลสที่มันหลุดออกไปดั่งแขนขาดทำไมเราไม่เห็นล่ะ? แต่ถ้ามันขาดจริงไม่ต้องพูด มันขาดเห็นๆ ขาดรู้เห็น ยถาภูตังไง ขาดไปแล้ว ญาณทัศนัง ญาณที่รู้ว่าขาด เห็นไหม ขาดยังรู้ว่าขาด ขาดแล้วยังรู้ว่าขาดแล้วอีกต่างหาก ไม่ใช่ว่าขาดเฉยๆ นะ เห็นขาดด้วย แล้วยังรู้ว่าขาดอีกต่างหาก นี่ธรรมะมันถึงเด็ดขาดขนาดนั้น พระพุทธเจ้าถึงเยี่ยมมาก

ผู้ปฏิบัติธรรมไง ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มรรค ผล นิพพานมีแน่นอน แต่มีถึงความเป็นจริง ไม่ใช่มีแบบคิดไปน่ะ มีแบบคิดไป ภาวนาไป แล้วเสียโอกาสมาก